ITALIAN RENAISSANCE WORLD PREMIERE
ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก เปิดนิทรรศการมัลติมีเดียระดับโลก ITALIAN RENAISSANCE WORLD PREMIERE ครั้งแรกของโลกที่กรุงเทพฯ
หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากกับนิทรรศการมัลติมีเดีย FROM MONET TO KANDINSKY และเมื่อวันพุธที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ อาร์ซีบี แกลเลอเรีย (RCB Galleria) ชั้น 2 ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ต่อยอดงานนิทรรศการระดับโลกทันทีด้วยการเปิดตัว ITALIAN RENAISSANCE WORLD PREMIERE นิทรรศการมัลติมีเดียที่นำเสนอ 4 อิตาเลียนมาสเตอร์แห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ไม่ว่าจะเป็นเลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) มิเคลันเจโล (Michelangelo) ราฟาเอล (Raphael) และบอตติเชลลิ (Botticelli) ผู้ทรงอิทธิพลอันก่อให้เกิดยุคสมัยแห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยาการอิตาเลียนที่เป็นแรงบันดาลใจมาถึงปัจจุบัน สำหรับนิทรรศการนี้ ผู้ชมจะได้เดินทางกลับไปสู่ช่วงเวลาหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงและตื่นตัวด้านวิทยาการ รอบพรีวิวที่จัดขึ้นแบบเอ็กซ์คลูซีฟครั้งนี้ได้ต้อนรับศิลปินผู้มีชื่อเสียงมากมายร่วมด้วยทูตานุทูต ผู้คนในแวดวงธุรกิจ ที่มาร่วมเป็นเกียรติและเป็นบุคคลกลุ่มแรกที่ได้ชมนิทรรศการระดับเวิลด์คลาสนี้
นิทรรศการมัลติมีเดีย ITALIAN RENAISSANCE จัดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก (World Premiere)
ที่อาร์ซีบี แกลเลอเรีย (RCB Galleria) ชั้น 2 ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก จนถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2562
ซื้อบัตรได้ทางเว็บไซต์ Zip Even bit.ly/2JaQSZ5บัตร 1 ใบ เข้าชมได้ตลอดทั้งวัน เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 22.00 น.
เกี่ยวกับนิทรรศการ
นิทรรศการ ITALIAN RENAISSANCE WORLD PREMIERE ออกแบบและเนรมิตขึ้นมาเป็นพิเศษเฉพาะสำหรับริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก เป็นการนำเสนอผลงานของสี่ศิลปินคนสำคัญผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเรอเนสซองส์ (Renaissance) คือ เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) มิเคลันเจโล (Michelangelo) ราฟาเอล (Raphael) และ บอตติเชลลี (Botticelli) พวกเขาดำรงชีวิตและสร้างสรรค์ผลงานไว้มากกว่า 500 ปีที่แล้ว แต่มรดกตกทอดยังคงเป็นที่ชื่นชอบไปทั่วโลกเป็นอย่างมาก ผู้ชมจะได้ดื่มด่ำกับผลงานระดับมาสเตอร์พีซมากมายในรูปแบบมัลติมีเดียอันทันสมัยที่สุดและผสมผสานอย่างมีเอกลักษณ์ด้วยการฉายภาพโดยโปรเจ็กเตอร์ ภาพกราฟิคอะนิเมชั่นและดนตรีประกอบ
ความรุ่งเรืองแห่งอดีต
ช่วงต้นศตวรรษที่ 15 ประเทศอิตาลีเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูทางวัฒนธรรมซึ่งเรียกกันว่า “ยุคเรอเนสซองส์” อันมีอิทธิพลต่อแง่มุมต่างๆ ของสังคม บรรดาศิลปินแห่งเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) พากันปฏิเสธรูปสัญลักษณ์ (Iconography) ในสมัยกอธิค (Gothic) และโรมาเนสก์ (Romanesque) ที่มีมาก่อนหน้านี้ และพวกเขาได้ก่อกำเนิดความรุ่งเรืองแห่งศิลปะคลาสสิคขึ้นมาใหม่อีกครั้งซึ่งมีความเป็นมนุษย์นิยมและปัจเจกบุคคลมากขึ้นอันนำมาสู่การถือกำเนิดของยุคร่วมสมัย บริบทแวดล้อมต่างๆ กำลังพรั่งพรูขึ้นมาใหม่และผลักดันให้ผู้คนศึกษาด้านมนุษยศาสตร์จากความเมตตาสนับสนุนของตระกูลเมดีชี (Medici) พวกศิลปินในยุคเรอเนสซองส์ตอนต้นจึงเริ่มสร้างสรรค์ผลงานที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ด้านสถาปัตยกรรม ปรัชญา เทววิทยา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และการออกแบบ นวัตกรรมต่างๆ งอกงามขึ้นจากศิลปะในช่วงเวลานี้ เปรียบเสมือนแงสั่นที่กึกก้องไปทั่วและส่งผลต่อด้านการสร้างสรรค์และวัฒนธรรมมาจนถึงปัจจุบัน
เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) มิเคลันเจโล (Michelangelo) ราฟาเอล (Raphael) และบอตติเชลลี (Botticelli) จึงกลายเป็นตำนานที่น่าจดจำที่สุดของยุคสมัยอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาขยายนิยามคำว่าบุรุษแห่ง “เรอเนสซองส์” ในด้านความสามารถและเป็นมาสเตอร์ด้านต่างๆ ผู้มีความสนใจที่หลากหลาย
เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) เป็นตัวอย่างแรกสุดของคำว่า “บุรุษแห่งเรอเนสซองส์” (Renaissance Man) อย่างแท้จริง เพราะเขามีความเข้าใจอันลึกซึ้งและมีความสนใจที่หลากหลาย แต่อย่างไรก็ตาม ความสนใจส่วนตัวของเขานำไปสู่ความเป็นเลิศในระดับมาสเตอร์ด้านต่างๆ เขาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ผลงานไอคอนของเขายังคงมีผู้นำไปศึกษาต่อและได้รับการยกย่องมาจวบจนปัจจุบัน
มิเคลันเจโล (Michelangelo) คือผู้ถ่ายทอด “ลักษณะ” อันแท้จริงในยุคแรกๆ ของประวัติศาสตร์ศิลปะ เขาเป็นอัจฉริยะผู้รู้รอบด้านคนหนึ่งผู้ได้รับการขนานนามอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคอิตาเลียน เรอเนสซองส์ (Italian Renaissance) ผลงานของไมเคิลแองเจโลที่ทรงอิทธิพลต่อการนำไปต่อยอดมากที่สุด ได้แก่ ภาพจิตรกรรมขนาดมหึมาที่เล่าเรื่องในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลซึ่งปรากฏอยู่ที่โบสถ์ซิสทีน (Sistine Chapel) รูปปั้นเดวิด (David) ชายผู้สมบูรณ์แบบที่ตระหง่านด้วยความสูง 17 ฟุต และประติมากรรมปิเอตา (Pieta) อันสะเทือนอารมณ์ ทั้งหมดนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในชิ้นงานศิลปะระดับอัจฉริยะมากที่สุดของโลกซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้มาชมในปัจจุบัน
ราฟาเอล (Raphael) ไม่เพียงแต่เป็นมาสเตอร์แห่งเทคนิคอันเป็นลายเซ็นในช่วงที่ศิลปะยุคเรอเนสซองส์เฟื่องฟูถึงขีดสุด (High Renaissance) ไม่ว่าจะเป็น เทคนิคสฟูมาโต (Sfumato) การวาดเพอร์สเปคทีฟ (Perspective) ความแม่นยำด้านสรีระศาสตร์ รวมถึงอารมณ์อันแท้จริงและการแสดงออก นอกจากนี้ เขายังได้สอดแทรกสไตล์ส่วนตัวซึ่งก็คือความชัดเจน สีที่สด องค์ประกอบที่ง่ายและความงามสง่าอันเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเขา
บอตติเชลลี (Botticelli) เป็นผู้เชื่อมโยงช่องว่างระหว่างสไตล์งานจิตรกรรมกอธิค (Gothic) ในยุคกลางและการถือกำเนิดของความจริงด้านมนุษยนิยม ผลงานของเขาแฝงไว้ด้วยความรู้ด้านสรีระวิทยาของมนุษย์และการวาดภาพเพอร์สเปคทีฟ (Perspective) แต่อย่างไรก็ตามยังคงไว้ซึ่งคุณค่าแห่งการตกแต่งให้สวยงาม